ปัญหาขยะพลาสติกเป็นเป็นหาที่นับวันก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกๆปี แม้จะมีการตื่นตัว และรณรงค์ให้นำเอาพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ แต่เมื่อนำมาใช้ซ้ำหลายครั้งเข้า คุณภาพก็ย่อมเสื่อมลง ความสวยงามลดลง อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงความสะอาดและความปลอดภัยด้วย และเมื่อเทียบการนำเอาขยะพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ กับขยะพลาสติกที่ถูกทิ้งทั้งหมด ในแต่ละวันก็ยังถือว่าเป็นแค่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ส่วนการกำจัดพลาสติกที่สะดวกอย่าง การฝังกลบ การเผาทำลาย ก็มีผลเสียกับสภาพแวดล้อม เป็นมลภาวะ และเป็นอันตรายอย่างมากตัวทำปฏิกิริยาแต่ละชนิดมีสมบัติในการเกิดปฏิกิริยาได้เร็วช้าต่างกัน เช่น ธาตุเฮโลเจนมีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยามาก ขณะที่ธาตุไนโตรเจนจะเฉื่อยชาไม่ค่อยเกิดปฏิกิริยา ดังนั้น ปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ จะมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาแตกต่างกัน บางปฏิกิริยาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น การระเบิดของดินปืน ปฏิกิริยาระหว่างกรดกับเบสจะได้เกลือกับน้ำทันที
NaOH + HCl NaCl + H2O
ปฏิกิริยาบางปฏิกิริยาก็เกิดอย่างช้า ๆ จนไม่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วงที่พิจารณา ต้องใช้เวลาเป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปี จึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น เช่น การบูดเน่าของอาหาร การเน่าเปื่อยของพืชผักต่าง ๆ การเกิดสนิมของโลหะต่าง ๆ เป็นต้น
สำหรับสารที่มีอันยรูปต่างกันก็มีความว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาไม่เท่ากัน เช่น ฟอสฟอรัสขาว ฟอสฟอรัสแดง และฟอสฟอรัสดำ พบว่า ฟอสฟอรัสขาวสามารถลุกติดไฟในอากาศได้ทันทีที่มีอุณหภูมิห้อง ในขณะที่ฟอสฟอรัสแดงและฟอสฟอรัสดำไม่เกิดปฏิกิริยา ดังสมการ
P4(s) + 5O2(g) P4O10(s)
ทั้งนี้เพราะโครงสร้างของฟอสฟอรัสขาวมีลักษณะเป็นโมเลกุลเดี่ยว ประกอบด้วยฟอสฟอรัส 4 อะตอม ส่วนฟอสฟอรัสแดงและฟอสฟอรัสดำมีโครงสร้างเป็นพอลิเมอร์ต่อกันเป้นแนวยาวและแบบลูกฟูก
ปฏิกิริยาเคมี หมายถึง การที่สารตั้งต้นเปลี่ยนไปเป็นผลิตภัณฑ์(สารใหม่) เมื่อเวลาผ่านไปปริมาณของสารตั้งต้นจะลดลงขณะที่ปริมาณสารใหม่จะเพิ่มขึ้นจนในที่สุด
ก. ปริมาณสารตั้งต้นหมดไป หรือเหลือสารใดสารหนึ่งและมีสารใหม่เกิดขึ้น เรียกว่า ปฏิกิริยาเกิดสมบูรณ์ (ไม่เกิดสมดุลเคมี) เช่น A + B Cจากปฏิกิริยาบอกได้ว่า A และ B หมดทั้งคู่หรือเหลือตัวใดตัวหนึ่ง ขณะเดียวกันจะมีสารC เกิดขึ้น
ข. ปริมาณสารตั้งต้นยังเหลืออยู่(ทุกตัว) เกิดสารใหม่ขึ้นมา เรียกว่าปฏิกิริยาเกิดไม่สมบูรณ์(เกิดสมดุลเคมี) ซึ่งจะพบว่า ความเข้มข้นของสารในระบบจะคงที่ (สารตั้งต้นและสารผลิตภัณฑ์) อาจจะเท่ากัน มากกว่า หรือน้อยกว่าก็ได้ เช่น สมดุลของปฏิกิริยา A + B C
จากปฏิกิริยาบอกได้ว่าทั้งสาร A และ B เหลืออยู่ทั้งคู่ ขณะเดียวกันสาร C ก็เกิดขึ้น จนกระทั่งสมบัติของระบบคงที่
ชนิดของปฏิกิริยาเคมี
ปฏิกิริยาเคมี หมายถึง การที่สารตั้งต้นเปลี่ยนไปเป็นผลิตภัณฑ์(สารใหม่) เมื่อเวลาผ่านไปปริมาณของสารตั้งต้นจะลดลงขณะที่ปริมาณสารใหม่จะเพิ่มขึ้นจนในที่สุด
ก. ปริมาณสารตั้งต้นหมดไป หรือเหลือสารใดสารหนึ่งและมีสารใหม่เกิดขึ้น เรียกว่า ปฏิกิริยาเกิดสมบูรณ์ (ไม่เกิดสมดุลเคมี) เช่น A + B Cจากปฏิกิริยาบอกได้ว่า A และ B หมดทั้งคู่หรือเหลือตัวใดตัวหนึ่ง ขณะเดียวกันจะมีสารC เกิดขึ้น
ข. ปริมาณสารตั้งต้นยังเหลืออยู่(ทุกตัว) เกิดสารใหม่ขึ้นมา เรียกว่าปฏิกิริยาเกิดไม่สมบูรณ์(เกิดสมดุลเคมี) ซึ่งจะพบว่า ความเข้มข้นของสารในระบบจะคงที่ (สารตั้งต้นและสารผลิตภัณฑ์) อาจจะเท่ากัน มากกว่า หรือน้อยกว่าก็ได้ เช่น สมดุลของปฏิกิริยา A + B C
จากปฏิกิริยาบอกได้ว่าทั้งสาร A และ B เหลืออยู่ทั้งคู่ ขณะเดียวกันสาร C ก็เกิดขึ้น จนกระทั่งสมบัติของระบบคงที่
ชนิดของปฏิกิริยาเคมี
เลขอะตอม (Atomic number) หมายถึง ตัวเลขที่แสดงถึงผลรวมจำนวนโปรตอนในอะตอมของธาตุ ซึ่งมีค่าเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอน บางครั้งใช้สัญลักษณ์ Z
เลขมวล (Mass number) หมายถึงตัวเลขที่แสดงถึงผลรวมของจำนวนโปรตอนกับนิวตรอน บางครั้งใช้สัญลักษณ์ A
A = Z + n (จำนวนนิวตรอน)
เลขอะตอม (Atomic number) หมายถึง ตัวเลขที่แสดงถึงผลรวมจำนวนโปรตอนในอะตอมของธาตุ ซึ่งมีค่าเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอน บางครั้งใช้สัญลักษณ์ Z
เลขมวล (Mass number) หมายถึงตัวเลขที่แสดงถึงผลรวมของจำนวนโปรตอนกับนิวตรอน บางครั้งใช้สัญลักษณ์ A
A = Z + n (จำนวนนิวตรอน)
เลขอะตอม (Atomic number) หมายถึง ตัวเลขที่แสดงถึงผลรวมจำนวนโปรตอนในอะตอมของธาตุ ซึ่งมีค่าเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอน บางครั้งใช้สัญลักษณ์ Z
เลขมวล (Mass number) หมายถึงตัวเลขที่แสดงถึงผลรวมของจำนวนโปรตอนกับนิวตรอน บางครั้งใช้สัญลักษณ์ A
A = Z + n (จำนวนนิวตรอน)
เลขอะตอม (Atomic number) หมายถึง ตัวเลขที่แสดงถึงผลรวมจำนวนโปรตอนในอะตอมของธาตุ ซึ่งมีค่าเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอน บางครั้งใช้สัญลักษณ์ Z
เลขมวล (Mass number) หมายถึงตัวเลขที่แสดงถึงผลรวมของจำนวนโปรตอนกับนิวตรอน บางครั้งใช้สัญลักษณ์ A
A = Z + n (จำนวนนิวตรอน)
- รังสีเอกซ์ ถูกค้นพบโดย Conrad Röntgen อย่างบังเอิญเมื่อปี ค.ศ. 1895
- ยูเรเนียม ค้นพบโดย Becquerel เมื่อปี ค.ศ. 1896 โดยเมื่อเก็บยูเรเนียมไว้กับฟิล์มถ่ายรูป ในที่มิดชิด ฟิล์มจะมีลักษณะ เหมือนถูกแสง จึงสรุปได้ว่าน่าจะมีการแผ่รังสีออกมาจากธาตุยูเรเนียม เขาจึงตั้งชื่อว่า Becquerel Radiation
- พอโลเนียม ถูกค้นพบและตั้งชื่อโดย มารี กูรี ตามชื่อบ้านเกิด (โปแลนด์) เมื่อปี ค.ศ. 1898 หลังจากการสกัดเอายูเรเนียมออกจาก Pitchblende หมดแล้ว แต่ยังมีการแผ่รังสีอยู่ สรุปได้ว่ามีธาตุอื่นที่แผ่รังสีได้อีกแฝงอยู่ใน Pitchblende นอกจากนี้ กูรียังได้ตั้งชื่อเรียกธาตุที่แผ่รังสีได้ว่า ธาตุกัมมันตรังสี และเรียกรังสีนี้ว่า กัมมันตภาพรังสี
- เรเดียม ถูกตั้งชื่อไว้เมื่อปี ค.ศ. 1898 หลังจากสกัดเอาพอโลเนียมออกจากพิตช์เบลนด์หมดแล้ว พบว่ายังคงมีการแผ่รังสี จึงสรุปว่ามีธาตุอื่นที่แผ่รังสีได้อีกใน Pitchblende ในที่สุดกูรีก็สามารถสกัดเรเดียมออกมาได้จริง ๆ จำนวน 0.1 กรัม ในปี ค.ศ. 1902
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น